มอนซูน แวลลีย์ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 2544 โดยคุณเฉลิม อยู่วิทยา นักธุรกิจผู้มีความหลงใหลในรสชาติของไวน์และมีความมุ่งมั่นแรงกล้าที่จะสร้างวัฒนธรรมไวน์อันเข้มแข็งขึ้นมาในไทย โดยหลังจากที่คุณเฉลิมกลับมาจากการศึกษาต่อที่ต่างประเทศ คุณเฉลิมได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของการปลูกองุ่นในประเทศไทยอันเป็นดินแดนบ้านเกิด และริเริ่มเส้นทางอันยาวนานเพื่อที่จะแสดงให้โลกได้รับรู้ว่าเขตภูมิอากาศอย่างเส้นรุ้งที่ 13 องศาเหนือเองก็ผลิตไวน์ชั้นเยี่ยมได้
ไร่องุ่นแห่งแรกของคุณเฉลิมตั้งอยู่ที่อำเภอทับกวาง ในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่อันสวยงาม เขตที่ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกองุ่น "ดั้งเดิม" ในประเทศไทย ถูกล้อมรอบด้วยอุทยาแห่งชาติและป่าดิบชื้น ทับกวางถือเป็นตัวเลือกที่ลงตัวด้วยดินแดงอุดมสมบูรณ์กับสภาพอากาศที่เหมาะสมในการเพาะปลูกองุ่นพันธุ์ชีราซชั้นดี หลังจากความสำเร็จในทับกวาง คุณเฉลิมก็เริ่มออกเสาะหาพื้นที่อื่นในประเทศไทยที่เหมาะสมในการทำไร่องุ่นเพื่อทำไวน์ชั้นเยี่ยมต่อไป
โอกาสปรากฏขึ้นอีกครั้งในปีพ.ศ. 2545 เมื่อคุณเฉลิมได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมการเพาะองุ่นในโครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่ได้รับความสนใจมากนักในฐานะแหล่งปลูกองุ่นมาก่อน แต่คุณภาพขององุ่นที่เพาะปลูกในโครงการกลับมีคุณภาพที่ดีจนคุณเฉลิมอดประหลาดใจไม่ได้ และเริ่มการออกหาซื้อที่ดินที่ใหญ่พอที่จะปลูกองุ่นให้ได้มากพอสำหรับใช้เพื่อการผลิตไวน์ในเขตหัวหินทันที
คุณเฉลิมเจอจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ตำบลบ้านคอกช้าง ตำบลเล็กๆในหุบเขาเก่าแก่ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากหาดหัวหินราว 35ก.ม. พื้นที่ก่อสร้างถูกสร้างบนคอกช้างเก่า สถานที่ทรงเสน่ห์ที่เคยใช้ฝึกช้างป่าให้เชื่องมานานตั้งแต่อดีตกาล ณ ที่แห่งนี้เองที่ไร่องุ่นหลักของมอนซูน แวลลีย์ วินยาร์ด ไร่องุ่นที่หัวหินฮิลส์ในปัจจุบัน มีสายพันธุ์องุ่นมากมายอาทิเช่น โคลอมบาร์ด เชนิน บลอง แซงโจเวเซ รอนโด และ ชีราซ ถูกเพาะปลูกและเจริญงอกงามขึ้นเป็นอย่างดี ก่อนที่จะมีการนำสายพันธุ์อื่นๆอย่างเช่น มัสกัต ดอนเฟลเดอร์ แมร์โล กาเบอร์เน โซวีญง และ โซวีญง บลอง เข้ามาเพาะปลูกต่อมา
ด้วยความที่ตั้งอยู่ใกล้ทะเลทำให้ไร่องุ่นหัวหินได้รับลมทะเลเย็นสบายตลอดคืน ในขณะเดียวกันก็ได้รับดินร่วนทรายที่มีสารอาหารอันประเมินค่าไม่ได้จากเปลือกหอยและฟอซซิลแร่ธาตุนานาประการจากทะเล ซึ่งช่วยมอบรสชาติและความสดชื่นให้แก่องุ่นไวน์ของเรา พื้นที่เพาะปลูกของหัวหินมีทั้งหมดประมาณ 300 ไร่ (48 เฮคเตอร์) โดยที่ดินส่วนที่เหลือถูกใช้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์ท้องถิ่นมากมาย ซึ่งคุณเฉลิมพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาและปกป้องเอาไว้ด้วยความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าสมดุลของธรรมชาติ คือกุญแจสำคัญที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างไวน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและยอดเยี่ยมขึ้นมา
ในปีพ.ศ. 2556 คุณเฉลิมตัดสินใจบุกเบิกขึ้นไปทางเหนือที่เชียงใหม่และสร้างไร่องุ่นเล็กๆขึ้นเพื่อทดสอบว่าความเหมาะสมของสภาพอากาศจะส่งผลใดๆต่อสไตล์หรือเอกลักษณ์ของไวน์หรือไม่ โดยที่ยังคงรักษาจิตวิญญาณนักบุกเบิกเอาไว้เช่นเดิมด้วยความเชื่อว่าการปลูกองุ่นในพื้นที่ที่ต่างกันออกไปในประเทศไทย จะทำให้คนรักไวน์มีตัวเลือกและทางเลือกของไวน์ที่หลากหลายยิ่งขึ้น ด้วยความร่วมมือกับทีมที่เชี่ยวชาญทั้งการเพาะปลูกและทำไวน์ คุณเฉลิมยังคงศึกษาและมุ่งมั่นในการเรื่องของรสชาติและคุณภาพของไวน์ไทยอย่างต่อเนื่อง
ฤดูมรสุมคือตัวแปรสำคัญของความอุดมสมบูรณ์ในประเทศเขตร้อนชื้น โดยฤดูมรสุมของไทยจะมีระยะเวลายาวนานตั้งแต่เดือน กรกฎาคม จนถึง ตุลาคม และถือเป็นช่วงเวลาที่สิ่งมีชีวิตงอกงาม เมื่อเกษตรกรเริ่มกักเก็บน้ำจากมรสุมเอาไว้ใช้สำหรับฤดูแล้งที่กำลังจะมาถึง หากไม่มีพายุฝนนี้ การเกษตรกรรมใดๆก็คงไม่อาจเกิดขึ้นได้ในประเทศไทย สัญลักษณ์ของนาค ( Naga ) และ มอนซูน แวลลีย์ จึงเป็นเสมือนตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์และความเจริญรุ่งเรืองดั่งเช่นพญานาคที่เป็นผู้นำพาลมมรสุมเข้ามาสู่พื้นที่นั่นเอง
หลายคนต่างสงสัยเกี่ยวกับการปลูกองุ่นเขตร้อนในประเทศไทยซึ่งจะแตกต่างกับการปลุกองุ่นไวน์แบบในฤดูหนาวทั่วไป...คำตอบคือ ไร่ของเรามีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญและคุณภาพบวกกับการเอาใจใส่ตั้งแต่ต้นกล้าจนถึงขั้นตอนการผลิตไวน์ นั่นหมายความว่าองุ่นของเราจะเติบโตต่อเนื่องโดยไม่มีช่วงหยุดพักฤดูหนาวเหมือนในประเทศเขตหนาว ถึงแม้องุ่นจะมีขนาดลูกที่เล็กลง แต่เราก็ไม่หยุดพัฒนาเพราะเรายังมุ่งไปที่การขยายเถาและความงอกงามของต้นองุ่นเพื่อจะสร้างผลองุ่นที่มีคุณภาพ เพราะฉะนั้นเราต้องอาศัยการ"การใส่ใจ"ให้กับต้นองุ่นและเวลาที่เหมาะสมสำหรับการออกผล!
ในสภาพอากาศเขตร้อนนั้น เราสามารถแบ่งฤดูกาลคร่าวๆได้เป็น ฤดูฝน และ ฤดูแล้ง สถานที่ปลูกองุ่นส่วนมากมักถูกเลือกให้เป็นสถานที่ที่มีฤดูแล้งที่สั้นและกระชับซึ่งหมายถึงมีฝนตกน้อยมากในช่วงนั้นของปีรวมไปถึงฤดูฝนที่กระชับมากเช่นกัน ในช่วงฤดูแล้ง (สีเขียว) ซึ่งจะเริ่มในประเทศไทยในช่วงประมาณกลางเดือนตุลาคม เกษตรกรปลูกองุ่นจะวางแผนผลผลิตขององุ่นในปีนั้นๆ โดยคำนึงถึงสภาพภูมิอากาศในประเทศ โดยจะใช้เวลาราวๆ 120-130 วันตั้งแต่การตอนกิ่งไปจนถึงเก็บเกี่ยวองุ่นที่โตเต็มที่ โดยวงจรการเก็บเกี่ยวจะเริ่มเมื่อฤดูมรสุมจบ นั่นหมายความว่าช่วงฤดูตอนกิ่งจะเริ่มและจบในช่วงเดียวกันกับฤดูเก็บเกี่ยว ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ไปจนถึงกลางเดือนเมษายน
ตลอดช่วงเวลานั้น น้ำที่ถูกเก็บสะสมเอาไว้ในอ่างเก็บน้ำตั้งแต่ช่วงมรสุมจะถูกใช้เพื่อการเกษตร หลังจากฤดูเก็บเกี่ยวผ่านไปพร้อมกับฤดูฝนที่เริ่มเข้ามา วงจรจะเริ่มต้นใหม่และเถาองุ่นจะถูกตอนกิ่งอีกครั้ง เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน ฝนจะตกตลอดแทบทุกวัน แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเก็บเกี่ยวองุ่นคุณภาพสูงในช่วงนั้น โดยองุ่นที่ออกผลมาจะถูกตัดออกเพื่อให้เถาองุ่นได้มีเวลาพักฟื้นและใช้เวลาสะสมความเรี่ยวแรงเอาไว้สำหรับฤดูแล้งที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า ทฤษฎีการปลูกแบบสองฤดูหนึ่งเก็บเกี่ยวนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยจุดประสงค์ในการช่วยให้ต้นได้รักษาความสมดุลทางธรรมชาติของพันธุ์เอาไว้ โดยยังสามารถออกผลองุ่นคุณภาพสูงได้ในฤดุแล้ง
ลำดับประวัติความเป็นมากว่า 2 ทศวรรษของมอนซูน แวลลีย์ตั้งแต่แรกเริ่ม
อเล็กซ์ อัลบอน' นักแข่งรถฟอร์มูล่า วัน ชาวไทย จากทีมวิลเลียมส์ เรซซิ่ง ได้เดินทางกลับมาเยือนประเทศไทยเพื่อเปิดตัวในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ 'มอนซูน แวลลีย์' ที่ไร่องุ่นมอนซูน แวลลีย์ หัวหิน สถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำของหัวหิน และเป็นแหล่งผลิตองุ่นและเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์ “มอนซูน แวลลีย์” ของบริษัทสยาม ไวเนอรี่ จำกัด
มอนซูน แวลลีย์ รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในงานกาล่าดินเนอร์ของงาน APEC Finance Ministers Process 2022 ในวันที่ 19 ตุลาคม 2565 ณ โรงแรมแชงกรีล่า กรุงเทพฯ ผลิตภัณฑ์ชั้นนำของเรา ไม่ว่าจะเป็น มอนซูน แวลลีย์ คูเวย์ เดอ สยาม รูจ, และ มอนซูน แวลลีย์ โคลัมบาร์ด ได้เสิร์ฟให้กับแขกผู้มีเกียรติภายในงานทั้งหมด
ร้านอาหารเดอะศาลาได้ปิดปรับปรุง และได้สร้างโซนชิมไวน์แบบใหม่ และโซนห้องอาหารแบบใหม่ รวมถึงโซนบริการแบบห้องแอร์เพิ่มมาอีกด้วย